เครื่องฟอกอากาศ จำเป็นไหม? ทุกวันนี้ อากาศรอบๆตัวเรามีมลภาวะ มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ตามท้องถนนเท่านั้น แต่ในบ้านของเราเอง ก็ยังเต็ม ไปด้วยมลภาวะทางอากาศที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง แบคทีเรีย ไวรัส และสิ่งปนเปื้อนที่มากับอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข่าวเรื่องฝุ่น PM 2.5 นั้น เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะการที่มัน มีขนาดเล็ก สามารถทะลุผ่านขนจมูกและเมือกขนโบกตามช่องทางเดินหายใจไปสู่ปอด และก่อให้เกิดปัญหา กับหลอดเลือด รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจ ทั้งยังทำให้เกิดโรคทางสมอง  โรคมะเร็งอีกด้วย

 


เครื่องฟอกอากาศ

ดูราคาและหน้าตา เครื่องฟอกอากาศ รุ่นล่าสุดที่นี่

หากจะหาตัวช่วยในการกำจัดสิ่งเหล่านี้ เช่น เครื่องฟอกอากาศ มาใช้ในบ้าน ก็ไม่แน่ใจว่าจะเลือกซื้ออย่างไร เพราะมีหลายรุ่นหลายแบบเหลือเกิน วันนี้ เราจึงนำข้อมูลของเครื่องฟอกอากาศมาฝากไว้ให้พิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ จะได้ทราบว่าเครื่องฟอกอากาศจำเป็นกับเราจริงหรือไม่ แล้วเจ้าเครื่องนี้คืออะไร มีประโยชน์ยังไง อันตรายต่อเด็กหรือเปล่า มีวิธีการเลือกซื้ออย่างไร หลักการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ข้อดี ข้อเสียต่างๆมีอะไร อย่างไรบ้าง

เหตุใดเราต้องใช้เครื่องฟอกอากาศ

จากงานวิจัยของประเทศไทยหลายๆฉบับ ต่างระบุว่า ประมาณ 87 % ของคนไทยใช้เวลาอยู่ภายในบ้านหรืออาคาร ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าข้างในบ้าน มีความเสี่ยงต่อมลพิษทางอากาศน้อยกว่า ภายในบ้าน แต่ความจริงแล้ว อากาศภายในบ้านนั้นมีโอกาสเต็มไปด้วยฝุ่น ซึ่งโดยเฉลี่ย 15 % ของฝุ่นภายในบ้าน เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนลงมา (PM10) และยังพอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ส่วนที่เหลือเป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าและเป็นอันตรายมาก

นอกจากนี้ ยังไม่รวมสิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนมากับอากาศอื่นๆอีกด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่นอกบ้านหรือในบ้านคุณเองก็เป็นเหยื่อของผลกระทบที่จะตามมาหลังจากสูดเอาอากาศพวกนี้เข้าไป นั่นคือ โรคร้ายและปัญหาสุขภาพต่างๆ อาทิ โรคภูมิแพ้ ปัญหาหัวใจและหลอดเลือด การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือแย่ที่สุดคือ โรคมะเร็งปอด   อย่างไรก็ตาม การที่คุณมีเครื่องฟอกอากาศไว้ภายในบ้านนั้น จะช่วยลดความเสี่ยงต่ออันตรายพวกนี้ได้นั่นเอง

ประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศ

1. ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ

นอกจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว เครื่องฟอกอากาศยังช่วยป้องกันโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากฝุ่น ไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคภูมิแพ้ เพราะในอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกๆอย่างที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เช่นเดียวกับฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีขนาดที่เล็กมากๆ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าการอยู่ในบ้านนั้น เราได้สูดเอาฝุ่น PM 2.5 เข้าไปในปริมาณเท่าไหร่ แม้จะไม่มากเท่ากับข้างนอก หรือบริเวณติดถนนใหญ่ แต่ฝุ่นเหล่านี้ก็เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ต่างๆ เครื่องฟอกอากาศจึงสามารถช่วยกรองสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้ทุกคนได้สูดอากาศที่ปลอดภัยนั่นเอง

2. ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น

อากาศที่สะอาดก็เหมือนได้ช่วยฟอกปอดให้แข็งแรงไปในตัว เพราะการได้สูดอากาศที่สดชื่น ย่อมมีผลให้ร่างกายได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ และลดการทำงานหนักของปอดลงได้ อย่างน้อยอวัยวะภายในก็จะยังใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไปอีกนาน ไม่ต้องพบแพทย์หรือเข้าโรงพยาบาลให้เสียเงิน เสียเวลา นอกจากนี้ ยังส่งผลไปถึงสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้นจากการได้สูดอากาศดีๆอีกด้วย

3. ลดอาการกำเริบของภูมิแพ้

มีหลายครอบครัวที่ตัดสินใจซื้อเครื่องฟอกอากาศ เพื่อเป็นตัวช่วยทำให้อาการภูมิแพ้ทุเลาลง เนื่องจากอาการภูมิแพ้ ส่งผลให้การใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างลำบาก บางคนต้องพกยาพ่น บางคนน้ำมูกไหลหรือจามตลอดเวลา เป็นอุปสรรคต่อการทำงานไม่มากก็น้อย การซื้อเครื่องฟอกอากาศไว้ติดบ้าน จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถบรรเทาอาการภูมิแพ้และอาการคัดจมูกลงได้ และส่วนใหญ่ก็ได้ผลดีทีเดียว

4. แก้ปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับหรือการนอนหลับยาก

จากอาการนอนหลับไม่สนิท หรือหลับๆ ตื่นๆ อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ เนื่องจากสภาวะอากาศและฝุ่นละออง เครื่องฟอกอากาศจะทำให้ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆลดลงไป และทำให้นอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนในบรรยากาศของอากาศบริสุทธิ์ ให้ทุกเช้าตื่นมาด้วยความสดชื่น แจ่มใส สภาพร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ไม่อ่อนเพลียหรืองัวเงียอีกต่อไป (เว้นเสียแต่นอนดึกจากการดูซีรี่ย์) พร้อมสำหรับการเรียนและการทำงานตลอดวัน

เครื่องฟอกอากาศ คืออะไร

เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier หรือ Air Cleaner) คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมในอากาศ เช่น ฝุ่น แบคทีเรีย ไวรัส ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่าง กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นอับ กลิ่นเหม็นภายในบ้านให้หายไป ซึ่งเครื่องฟอกอากาศ ทำงานโดยการดูดอากาศเข้าตัวเครื่องผ่านตัวกรองเพื่อดักจับสิ่งเหล่านี้เอาไว้ แล้วปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาแทน

เครื่องฟอกอากาศ Xiaomi 2S

หลักการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ

ปัจจุบันเครื่องฟอกอากาศมีการเพิ่มเติมฟังก์ชันเข้ามามากมาย แต่สามารถแบ่งระบบการทำงานของเครื่องฟอกอากาศออกเป็น 5 ระบบหลัก ๆ ตามการทำงาน ดังนี้

  • UV Light
    UV Light เป็นระบบที่นำรังสีอัลตราไวโอเลตมาใช้ในการกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ อาทิ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือสารอื่น ๆ ในอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • Air filters
    Air Filter หรือแผ่นกรองอากาศ ระบบดักจับฝุ่นละออง แบคทีเรีย ไวรัส หรือสารต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ มีทั้งประเภทที่ทำจากกระดาษ เส้นใย ตาข่าย แต่แบบที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ แผ่นกรองอากาศแบบ High Efficiency Particulate Air ประเภทแผ่นกรองที่ผลิตจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ดักจับอนุภาคที่มีขนาดเล็กอย่างน้อย 0.3 ไมครอน และมีประสิทธิภาพในการดักจับได้ไม่น้อยกว่า 99.9 % อายุเฉลี่ยการใช้งานอยู่ที่ 3-5 ปี จึงได้รับความนิยมไม่น้อย
  • Gas Phase Filters
    Gas Phase Filters เป็นเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ในการกำจัดมลพิษที่เป็นกลิ่นไอ ก๊าซและสารระเหยโดยเฉพาะ มีสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการดูดซับมลพิษเป็นตัวช่วยในการทำงาน จึงนิยมนำมาใช้กับพื้นที่ที่มีกลิ่นระเหยและก๊าซมากที่สุด เช่น ห้องครัว ซึ่งจะช่วยขจัดควันจากการทำอาหารและก๊าซที่กระจายออกมาจากถังแก๊สหุงต้มได้เป็นอย่างดี
  • Electrostatic Precipitator
    Electrostatic Precipitator ระบบกรองอากาศที่ทำงานโดยใช้หลักไฟฟ้าสถิต ด้วยการปล่อยประจุไฟฟ้าลบออกมาจับฝุ่นละอองหรืออนุภาคขนาดเล็กที่เป็นประจุบวกให้เป็นกลุ่มก้อน เพื่อให้มีน้ำหนักมากขึ้นแล้วตกลงสู่พื้น ไม่ลอยฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ จึงทำให้อากาศที่สูดดมเข้าไปมีความบริสุทธิ์มากขึ้น มั่นใจได้ว่าจะไม่มีสิ่งแปลกปลอมที่ปนมากับอากาศ
  • Ozone generator
    Ozone generator เป็นระบบที่ใช้แสงยูวีหรือการปล่อยกระแสไฟฟ้าในการสร้างโอโซน เชื่อว่าจะ ช่วยกำจัดอนุภาคของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสารระเหยต่างๆ ที่ปนมากับอากาศ และสามารถกำจัดเชื้อโรคบางอย่างได้อีกด้วย แต่เนื่องจากโอโซนมีผลข้างเคียงต่อร่างกายของมนุษย์สูงมาก จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมมาก นัก เพราะอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้น จึงใช้เครื่องฟอกอากาศประเภทนี้กับพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน

วิธีการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ

1. พิจารณาสมาชิกภายในบ้าน

ในขั้นแรกก่อนการตัดสินใจซื้อเครื่องฟอกอากาศ เราจำเป็นต้องรู้ความต้องการของตนเอง รวมถึงสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวและการดำเนินชีวิต โดยจะต้องพิจารณาสิ่งต่างๆ ดังนี้

  • สมาชิกในครอบครัวมีใครเป็นโรคหอบหืดหรือไม่
  • สมาชิกมีอาการของโรคภูมิแพ้หรือไม่
  • บ้านเลี้ยงสัตว์เลี้ยงหรือไม่
  • บ้านปลูกพืชหรือดอกไม้หรือไม่
  • บริเวณข้างบ้านอยู่ติดกับโรงงานหรือไม่
  • มีสมาชิกในบ้านสูบบุหรี่หรือไม่
  • ใช้สารเคมีบ่อยแค่ไหน อะไรบ้าง รวมถึงยาฆ่าแมลง และสเปรย์ปรับอากาศ
  • มีเด็กเล็กหรือไม่

การพิจารณาเงื่อนไขเหล่านี้ จะทำให้เราเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับตัวเราและคนในบ้านได้ ง่ายขึ้น เช่น หากบ้านอยู่ใกล้โรงงาน หรือมีการใช้สารเคมีบ่อยๆ ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศแบบ Gas Phase Filters เพื่อช่วยกำจัดมลพิษที่เป็นกลิ่นไอ ก๊าซและสารระเหย เป็นต้น

2. ขนาดห้อง

เลือกขนาดของเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับห้องที่จะติดตั้ง เพราะเครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นมีประสิทธิภาพในการทำงานครอบคลุมพื้นที่แตกต่างกัน เช่น หากซื้อเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็ก ซึ่งดีไซน์มาให้เหมาะกับห้องที่มีขนาด 20 x 25 ตารางเมตร แต่เอาไปวางไว้ในห้องโถงขนาดใหญ่ ก็จะทำให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้านำเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ไปวางไว้ในห้องเล็ก ๆ ก็จะทำให้เปลืองไฟ ดังนั้น ควรเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง เพื่อให้การฟอกอากาศมีประสิทธิภาพสูงสุด

3. ราคา เครื่องฟอกอากาศ

ไม่ใช่แค่เพียงราคาของเครื่องฟอกอากาศเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนตัวกรองของเครื่องฟอกอากาศอีกด้วย เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศทุกชนิดจะต้องมีการเปลี่ยนตัวกรองหรือไส้กรองอยู่เสมอ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ก่อนจะซื้อควรดูราคาของแผ่นกรองและการบำรุงรักษาส่วนอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย

4. ค่า CADR ชี้วัดประสิทธิภาพ

ค่า CADR หรือ Clean Air Delivery Rate คือค่าที่จะระบุอัตราในการฟอกอากาศต่อนาที มีหน่วยเป็น CFM คือผลลัพธ์ที่บอกว่าเครื่องฟอกอากาศที่ซื้อมามีความสามารถในการกำจัดฝุ่น กลิ่น สิ่งแปลกปลอม ในอากาศได้ดีแค่ไหน แต่… เราจะทราบได้อย่างไรว่าเครื่องฟอกอากาศนั้นมีประสิทธิภาพจริงตามคำโฆษณา ซึ่งค่านี้จะได้จากการที่ผู้ผลิตส่งเครื่องฟอกอากาศให้ทางสถาบันที่น่าเชื่อถือทดสอบ เช่น AHAM (Association of Home Appliance Manufacturers)

ดังนั้น เครื่องรุ่นไหนที่มีค่า CADR ระบุเอาไว้ ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพได้มากยิ่งขึ้น และในการเลือกซื้อ ก็ควรเลือกค่า CADR สูงๆไว้ก่อน โดยเฉพาะหากในบ้านมีคนสูบบุหรี่ มีฝุ่นละออง เพื่อจะได้กำจัดมลพิษเหล่านี้ออกไปได้อย่างรวดเร็ว

5. ระดับเสียง

เครื่องฟอกอากาศที่ดีควรมีระดับเสียงต่ำขณะเครื่องทำงาน เพื่อป้องกันการรบกวนขณะกำลังพักผ่อน โดยระดับเสียงที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 30-31 เดซิเบล

6. ระบบการทำงาน

ต้องดูว่า ระบบการทำงาน มีคุณสมบัติและตอบโจทย์ตรงกับความต้องการในการใช้งานของเราหรือไม่ รวมถึงความจำเป็นในการใช้ฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ ที่มากกว่าแค่การกรองอากาศหรือกำจัดกลิ่น เช่น เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ, ตัวระบุการเปลี่ยนแผ่นกรอง, ตัวควบคุมความเร็ว และรีโมตสั่งการ ก็ยังถือเป็นคุณสมบัติที่ควรนำมาพิจารณาร่วมด้วย เพราะเป็นส่วนที่ทำให้แต่ละเครื่อง แต่ละแบรนด์มีราคาแตกต่างกัน

7. ค่า Air Flow

ค่า Airflow คือ ตัววัดความเร็วลม จากปริมาณของอากาศที่ดูดเข้าไปและเวลาในการปล่อยอากาศออกมา หากเครื่องฟอกอากาศมีค่า Airflow สูงก็หมายความว่า เครื่องฟอกอากาศรุ่นนั้นมีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศได้เร็วนั่นเอง

8. ไส้กรองฝุ่น

ไส้กรองฝุ่น ถือเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องฟอกอากาศ เพราะมีหน้าที่ดักจับฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ  อากาศที่ถูกดูดเข้าไปในเครื่องจะผ่านเข้าสู่ไส้กรองฝุ่นเป็นอันดับแรก อากาศที่ผ่านไส้กรองที่มีความละเอียดสูง มาก ก็ยิ่งทำให้อากาศมีความบริสุทธิ์จากฝุ่นละออง กักเก็บฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ทางผู้ผลิตจะมีการระบุความละเอียดของไส้กรองไว้ด้วย สามารถแยกได้เป็นหลายระดับ อาทิ HEPA Tru HEPA ULPA เป็นต้น

และข้อมูลต่อไปนี้เราจะเสนอตัวกรองหรือระบบกรองที่ต้องมีการทำงานร่วมกัน จะได้ตัดสินใจว่าอันไหนเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับครอบครัวของเรา

  • Electronic Air Cleaners สามารถกรองมลพิษ ต้านเชื้อแบคทีเรีย, ควันบุหรี่ และช่วยกรองกลิ่นเหม็นต่างๆ แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคหรือกำจัดสารเคมีบางอย่างได้ แต่จะสร้างอากาศที่สะอาดเพียงพอหมุนเวียนไปทั่วห้อง ใช้ตัวกรองอิเลคทรอนิคส์ เมื่อแผ่นกรองเต็มก็ต้องทิ้งและเปลี่ยนอันใหม่ใส่ไปแทน เหมาะสำหรับบ้านที่เริ่มลองใช้งานเครื่องฟอกอากาศหรือบ้านที่ต้องการอากาศสะอาดแบบมาตรฐาน
  • Electrostatic Purifiers ใช้สำหรับกรองทำความสะอาดโดยรอบ สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องปรับอากาศของเราได้ จะทำงานโดยการจ่ายกระแสไฟจับอนุภาคของฝุ่นและดึงไปที่แผ่นกรองภายใน และตัวกรองก็มีระบบทำความสะอาดตัวเองอีกด้วย จึงเป็นการทำงานที่ซับซ้อน จึงจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านไฟฟ้ามาติดตั้ง
  • HEPA Filters ใช้สำหรับกรองอากาศให้สะอาด สามารถลบอนุภาคของกัมมันตรังสีจากอากาศได้ นิยมใช้กันแพร่หลายในบ้าน และอาคารพาณิชย์ มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดได้มากกว่า 99% จากมลพิษทั้งหมดในอากาศ อาทิ กรองฝุ่น เชื้อรา แบคทีเรีย เกสร ฝุ่นละอองของสัตว์ และควันบุหรี่ จึงเหมาะสมสำหรับบ้านที่มีผู้ป่วยเป็นโรคหอบหืดหรือภูมิแพ้
  • Ionic Air Purifiers สามารถกำจัดมลพิษออกจากอากาศได้ จึงใช้ได้ดีสำหรับการดึงเอาฝุ่นละอองออกจากอากาศและมลพิษอื่นๆ นอกจากนี้ ยังกรองเอากลิ่นเหม็นออกไปได้ด้วย ทั้ง ควันบุหรี่ เกสรดอกไม้ หรือเชื้อไวรัส หลายคนจึงเลือกเอาเครื่องฟอกอากาศประเภทนี้ใช้ภายในบ้าน เพราะนอกจากจะได้อากาศที่สดชื่นแล้ว ยังช่วยป้องกันเรื่องกลิ่นได้อีกด้วย

9. แผ่นกรองคาร์บอน

การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรองคาร์บอนไว้กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะคนที่อยู่คอนโดที่ห้องแคบและต้องรับประทานอาหารในห้อง หรือบางบ้านมีสัตว์เลี้ยงก็จะมีกลิ่นเฉพาะตัวของสัตว์ติดอยู่ในบ้าน เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นจึงมีแผ่นกรองคาร์บอนเพื่อดูดซับกลิ่นต่างๆ ได้ ข้อดีคือ หากเครื่องฟอกอากาศตัวไหนมีแผ่นกรองคาร์บอนจะทำให้กลิ่นของเครื่องบริสุทธิ์มากขึ้นกว่าเดิม

10. การประหยัดไฟ

เครื่องฟอกอากาศจะกินไฟหรือไม่ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับแผ่นกรอง หากแผ่นกรองมีความหนาแน่นมาก  อากาศผ่านได้น้อย ก็จะทำให้เครื่องฟอกอากาศใช้ไฟมาก แต่ถ้าแผ่นกรองบางเฉียบมากเกินไป ก็จะทำให้ เครื่องกรองอากาศ กรองฝุ่นละอองได้ไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น ควรเลือกแผ่นกรองที่มีอากาศไหลผ่านได้ดี เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าในการทำงาน นอกจากนี้ ยังสามารถเปรียบเทียบค่าไฟได้จากฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จากหลาย  ๆ รุ่นมาประกอบในการตัดสินใจก็ได้

11. ฟังก์ชั่นต่าง ๆ

อาจเป็นปัจจัยประกอบเพียงเล็กน้อยแต่ก็สำคัญ เพราะเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจ และความสะดวกของผู้ใช้งาน แต่จุดสำคัญที่ควรจะมีคือ ระบบ Auto Mode ที่สามารถปรับระดับความแรง – เบาของเครื่องฟอกอากาศได้เองอัตโนมัติ และควรมีฟังก์ชั่นตั้งเวลาเปิด – ปิด เพื่อให้เครื่องสามารถหยุดทำงานได้ด้วยตัวเองในกรณีที่ไม่มีใครอยู่บ้าน

12. การรับประกันและการบำรุงรักษา

เครื่องฟอกอากาศเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาพร้อมการรับประกันสินค้าจากผู้ผลิต เพราะอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ก่อนระยะเวลาอันสมควร อะไหล่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ ไส้กรองฝุ่น ซึ่งผู้ผลิตอาจแนะนำให้เปลี่ยนไส้กรองฝุ่นเพื่อคงประสิทธิภาพการทำงานทุก ๆ 1-10 ปี ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อ สิ่งทีเราควรทราบคืออายุการใช้งานของไส้กรองฝุ่นและราคาที่ต้องเตรียบงบประมาณเอาไว้ ในบางรุ่นไส้กรองฝุ่นอาจมีราคาหลักหลายพันบาท เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นที่มีทั้งฟังก์ชั่นกำจัดกลิ่น, สร้างความชื้น, ประจุไฟฟ้า เพิ่มเติมเข้ามาอาจต้องทำการเปลี่ยนอะไหล่ตามอายุการใช้งานเช่นเดียวกับไส้กรองอากาศ ส่งผลให้งบประมาณในการบำรุงรักษายิ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่ควรพิจารณาเช่นเดียวกับขั้นตอนการเลือกซื้ออื่นๆ

เมื่อทราบหลักการทำงาน ประเภท และวิธีการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศกันไปแล้ว ต่อไปก็มาดูกันว่าเครื่องฟอกอากาศ รุ่นไหน ยี่ห้อไหนดี ขายดี และเป็นที่นิยม

FP-J60TA-W-เครื่องฟอกอากาศ-sharp-1

ตัวอย่างเครื่องฟอกอากาศที่ขายดี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเครื่องฟอกอากาศจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ทุกอย่างย่อม เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้านเสมอ หากมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย หลังจากรู้จักประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศกันไปแล้ว คราวนี้ก็มาดูอันตรายและข้อควรระวังที่เกิดจากเครื่องฟอกอากาศกันบ้าง เพื่อเป็นการประกอบการ ตัดสินใจ หรือเป็นข้อคิดเตือนใจก่อนการซื้อมาใช้งาน โดยมีสิ่งที่ควรคำนึง ดังนี้

  • หลายคนมักเข้าใจผิดว่า เครื่องฟอกอากาศทุกชนิด สามารถกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ แต่จริงๆแล้ว “ไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศทุกเครื่องที่สามารถกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้” ควรเลือกที่มีชั้นกรอง Activated Carbon ด้วย
  • เครื่องฟอกอากาศ มีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้และโรคระบบทางเดินหายใจ แต่ในทางกลับกัน เครื่องฟอกอากาศ หากได้รับในปริมาณมากๆ และเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถทำลายสุขภาพได้เช่นกัน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของปอดน้อยลง อาจส่งผลให้มีปัญหาเรื่องหอบหืด มีอาการไอ และระคายเคืองคอ ในบางรายอาจรู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก ไปจนถึงปอดอักเสบ
  • เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศจะแพร่กระจายอากาศไปทั่วห้อง ดังนั้น จึงต้องระวังการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจด้วย
  • เครื่องฟอกอากาศไม่ได้ทำให้ฝุ่นละอองหายไปจากบ้านทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงควรทำความสะอาดบ้านควบคู่กันไปด้วย
  • เครื่องฟอกอากาศไม่ได้ช่วยให้โรคภูมิแพ้หายขาด แต่ช่วยให้ทุเลาลงได้เท่านั้น เพราะทำได้แค่ดูดจับฝุ่นละอองหรือสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ในอากาศ
  • ข้อควรระวังคือ หากซื้อมาใช้งานแล้วก็ต้องรู้จักวิธีดูแล ต้องทราบว่า แผ่นกรองอากาศหรือไส้กรองของเครื่องฟอกอากาศนั้นมีอายุการใช้งานของมันเอง อยู่ได้นานเท่าไร ค่าทุกค่าบนเครื่องยังทำงานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ ยิ่งหากต้องใช้งานหนัก แสดงว่าตัวเครื่องต้องดูดซับเอาสิ่งสกปรกและเชื้อโรคไว้ไม่น้อย การดูแลเปลี่ยนไส้กรองตามกำหนดอายุการใช้งาน จึงเป็นสิ่งสำคัญ

ประเภทเครื่องฟอกอากาศ

ใบปัจจุบันนี้ มีเครื่องฟอกอากาศอยู่ในประเทศไทยหลายยี่ห้อ หลายแบรนด์ โดยจะจำแนกออกมาเป็น 2 ประเภทหลักๆคือ แบรนด์แบบ OBM และ แบรนด์แบบ OEM

สำหรับแบบแรกคือ ผู้ผลิตเครื่องฟอกอากาศแบบ OBM หรือ Original Brand Manufacturer (เจ้าของแบรนด์ผลิตสินค้าเอง) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์หรือยี่ห้อสินค้าที่พวกเราคุ้นหู คุ้นตาในตลาดกันดีอยู่แล้ว เช่น Sharp Hitachi Toshiba Panasonic Honeywell Blueair ซึ่งส่วนมากแบรนด์เหล่านี้ จะมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตนเอง หรือเป็นโรงงานอื่นๆที่ผูกขาดการผลิตให้กับแบรนด์นี้อยู่

สำหรับแบบที่ 2 ก็จะเป็นเครื่องฟอกอากาศแบบ OEM หรือ Original Equipment Manufacturer ซึ่งเจ้าของแบรนด์จะจ้างโรงงานอื่นผลิตสินค้าให้ โดยส่วนมากจะจ้างจากประเทศจีนหรือประเทศเกาหลี โดยนำมาตีแบรนด์สินค้าที่มีชื่อของตัวเองที่คิดขึ้นมาเอง ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้เราจะสามารถหาแบรนด์ที่เป็นแบบนี้ได้เฉพาะในประเทศไทยที่เดียว แต่ในขณะเดียวเราก็อาจหาสินค้าที่เป็นแบบเดียวหรือรูปร่างเดียวกันนี้ ถูกจำหน่ายในประเทศอื่น แต่ละคนยี่ห้อ คนละสีได้ด้วยเช่นกัน

 

ดูราคาเครื่องฟอกอากาศ ที่ขายดี และเป็นที่นิยม

บทสรุป

หากเรามีงบประมาณเพียงพอไม่เดือดร้อน การเลือกเครื่องฟอกอากาศราคาสูงที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ประสิทธิภาพสูง ก็ย่อมคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไปอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะทำให้อากาศสดชื่นแล้ว ยังมีคุณสมบัติทำให้อากาศปลอดมลพิษ ขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมถึงฆ่าเชื้อโรค ยับยั้งเชื้อโรคในอากาศไม่ให้แพร่และขยายจำนวน ทำลายกลิ่นสารเคมีไม่ให้ค้างปะปนในอากาศอีกด้วย