หนังสือชีวิตดีอย่างอัศจรรย์ เมื่อตื่นทุกวันตอนตี 5 เป็นหนังสือแนว How-to อีกเล่มที่เห็นแค่ชื่อหนังสือ ก็ทำให้น่าสนใจอยากที่จะอ่าน และเป็นหนังสือสร้างแรงบันดาลใจที่น่าอ่านเล่มหนึ่ง   หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ Bee Media ซึ่งจะเป็นแนว How-to ที่ไม่ใช่แค่การอ่าน แต่เป็นการตอบตัวเองไปในตัว โดยจะมีคำถามมาให้ในตอนท้ายของแต่ละบท และให้ผู้อ่านตอบคำถาม เพื่อเป็นทบทวนเนื้อหา และยังเป็นการประเภทตามเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้น ๆ อีกด้วย ซึ่งมีหนังสือไม่กี่เจ้าในตลาด เป็นลักษณะนี้ คือให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมไปกับกิจกรรมของหนังสือ   สำหรับหนังสือ ชีวิตดีอย่างอัศจรรย์ เมื่อตื่นทุกวันตอนตี 5 นี้ จะเป็นการพูดถึงแนวทางการปฏิบัติ ด้วยการตื่นแต่เช้า เพื่อให้สามารถมีเวลาในการบริหารจัดการชีวิตให้ดีขึ้น   ในเนื้อหาหนังสือเอง ไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องตื่นตี 5 เพื่อมาทำอะไร แต่เป็นการเปรียบเทียบเวลาแบบยกตัวอย่าง ในความเป็นจริงผู้อ่านสามารถกำหนดเวลาที่เหมาะสมของตัวเองได้ ไม่ใช่ตี 5 เสมอไป เพียงแต่ว่าต้องปฏิบัติอย่างมีวินัยและเป็นระบบเพื่อให้ประสิทธิภาพสูงสุด   ในเนื้อหา จะกล่าวหลัก ๆ ถึงขั้นตอนเพื่อเปลี่ยนคุณให้เป็นคนใหม่ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 7 ขั้นตอนคือ ตั้งเป้าหมายให้ชีวิต สร้างระบบไตรมาส ระบุอุปนิสัย…

 

หนังสือ พัฒนาความจำสู่ความเป็นอัจฉริยะ นี่เป็นหนังสือแปล จากต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ โดยผู้เขียนชาวอิสราเอล ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความเป็นเลิศด้านการคิดและพัฒนาในหลาย ๆ เรื่อง   คุณเคยดูรายการรายการทีวีรายการหนึ่งไหมครับเมื่อหลายปีก่อน ที่เอาสุดยอดของคนเก่งมาแข่งขันและถอดรหัสต่าง ๆ ในรายการ เป็นรายการที่สนุกมาก ๆ รายการหนึ่งเลยทีเดียว นั่นคือ รายการอัจฉริยะข้ามคืน หลายคนคงร้อง อ๋อ เคยดูบ้าง แต่บางท่านอาจไม่เคยดู ไม่เป็นไรครับ   เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมผู้แข่งขัน สามารถจำสิ่งของ หรือคำถาม หรือตัวเลขต่าง ๆ ในเกมได้อย่างแม่นยำ และสามารถเรียกความจำนั้นออกมาใช้งานได้ เมื่อต้องการ   แน่นอนครับ มันต้องมีเทคนิคอะไรดี ๆ แน่ ๆ เกี่ยวกับการใช้ระบบความจำ… ใช่แล้วครับ การที่จะจำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำนั้น ต้องมีระบบที่เพิ่มเข้ามาจากการจำแบบปกติ และมีเทคนิค รวมทั้งวิธีการเฉพาะ จึงจะสามารถจำอะไรแบบนั้นได้ทั้งหมด   หนังสือเล่มนี้คือคำตอบ…   หนังสือเล่มได้นำเสนอวิธีการ และเทคนิคช่วยให้จำข้อมูลต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เช่น…

 

หากคุณกำลังเป็นพ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่น หรือวัยเด็กที่ย่างเข้าสู่วัยรุ่น คงปวดหัวไม่น้อยกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของวัยนี้ โดยเฉพาะเรื่องการพูดคุยกัน อาจมีให้อารมณ์เสียได้เสมอ   รู้หรือไม่ว่า การใช้คำพูดที่ไม่ดีแบบไม่ได้ตั้งใจกับลูกนั้น อาจทำลายความรู้สึกของเขาไปตลอดชีวิต   หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มที่ผมเห็นว่าอ่านมาก แม้ว่า ณ ตอนนี้ ลูกจะยังไม่ใช่วัยรุ่น แต่ก็อยากอ่านเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจ   เนื้อหาโดยหลักจะเป็นการนำเสนอ วิธีพูดคุยกับเด็กและวัยรุ่น รวมทั้งเนื้อหาส่วนของภาคปฏิบัติที่แนะนำให้เราทำตาม เพื่อให้เด็กยอมรับและไว้ใจเรา วิธีช่วยให้เขารู้สึกดีต่อตัวเอง มีความเข้มแข็งทางจิตใจ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาชีวิตได้   ตัวอย่างของเนื้อหาหนังสือ พูดกับลูกอย่างไร ฟังลูกพูดอย่างไร   วิธีช่วยให้เด็กสามารถจัดการกับอารมณ์ และความรู้สึกของเขาเอง พูดอย่างไรจึงจะทำให้เด็กเชื่อฟัง และให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ วิธีสอนลูกให้เชื่อฟัง โดยไม่ต้องใช้การลงโทษหรือข่มขู่บังคับ วิธีพูดเพื่อปลูกจิตสำนึก และส่งเสริมให้เด็กช่วยเหลือตัวเอง วิธีที่ถูกต้องในการกล่าวชมเชยหรือตักเตือนเด็ก วิธีช่วยเด็กให้หลุดพ้นจากการถูกตราหน้า หรือตั้งสมญานามในเชิงลบ   หนังสือเล่มนี้ค่อนข้างหนา ประมาณสามร้อยกว่าหน้า แต่หนาที่อัดแน่นไปด้วยตัวอย่าง และการทบทวน เพื่อให้เราเข้าใจ และสามารถนำไปใช้ได้จริง รวมทั้งมีส่วนที่ผมชอบคือ ในบางบท มีการ์ตูนสั้น ๆ อธิบายเป็นภาพประกอบ ซึ่งทำให้เข้าใจง่ายและไม่น่าเบื่อจนเกินไป สำหรับใครเป็นพ่อแม่ แนะนำให้อ่าน…

 

หลายครั้งที่วัน ๆ หนึ่งเราทำงานไม่ทัน ไม่ใช่เพราะเรามีเวลาน้อย หรือเวลาไม่พอ เราทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง แต่เราเองต่างหากที่เสียเวลาไปสิ่งที่ไม่มีประโยชน์   “เวลา” เป็นสิ่งที่ไม่ไม่เห็น แต่เรียกได้ว่า มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเรา เราสามารถซื้อเวลาได้ แต่มูลค่าของเวลามักมีราคาสูงเสมอ ในขณะเดียวกัน เราก็สามารถใช้เวลาที่ได้มาแบบฟรี ๆ กันทุกคนให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุด   ผู้เขียนเป็นนักพูดและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเวลาและการจัดการชีวิต มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี และหนังสือของเขายังขายดีกว่า 5 ล้านเล่ม รวมทั้งยัง แปลและตีพิมพ์ไปกว่า 40 ภาษาทั่วโลก น่าสนใจทีเดียว   ในหนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงวิธีการบริหารจัดการเวลา แบบสั้น ๆ แบ่งเป็น 5 ส่วน คือ   ทบทวนการใช้เวลา และจับโจรที่ขโมยเวลาของเรา ว่าเราเสียเวลาไปจากเรื่องอะไร ตั้งเป้าหมายเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ โดยกำหนดเป้าหมายเป็น 2 ระยะคือ ระยะยาว และระยะสั้น และใช้กฏของพาเรโท มาช่วยในการทำงาน ให้เกิดประสิทธิภาพ…

 

“ตีให้เจ็บเลย จะได้จำ จะได้ไม่ทำอีก” หลายครั้งที่เรามักได้ยินคำบอกจากผู้ใหญ่ ที่มักจะบอกให้พ่อแม่ตีลูก เวลาซน หรือเวลาเด็กทำอะไรผิด ซึ้งก็เป็นความเชื่อหนึ่งที่มีมานาน แต่ต่างก็เป็นวิธีการเลี้ยงดูของแต่ละบ้านที่แตกต่างกัน ไม่มีใครผิด พ่อแม่ทุกคนก็อยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง เลี้ยงลูกให้ฉลาด กันทุกคน   ส่วนตัวในฐานะ พ่อบ้านคนหนึ่ง ที่ได้เลี้ยงลูกมาเองกับมือ ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ แรกเกิด จนตอนนี้ก็เข้าโรงเรียนชั้นเตรียมอนุบาลแล้ว มีความเชื่อส่วนตัวว่า การตีลูก ไม่ใช่ทางออกที่แก้ปัญหาได้เสมอไป   ครั้งเมื่อได้มาอ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเจอในเว็บซีเอ็ด และเป็นหนังสือขายดีติดอันดับอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อได้อ่าน ทำให้รู้ว่า สิ่งที่เราทำนั้น ถูกต้องระดับหนึ่งแล้ว และยังมีสิ่งใหม่ ๆ ได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นการเปิดโลกทัศน์ของการเลี้ยงลูกเลยทีเดียว   หนังสือเล่มนี้ เลี้ยงบวก ลูกบวก กล่าวถึงวิธีการ “เลี้ยงลูกเชิงบวก” ซึ่งอาจพูดได้ว่า เป็นการเลี้ยงลูกสมัยใหม่ ซึ่งจะค่อนข้างต่างจากสิ่งที่เราเคยรับรู้ หรือเคยฟังกันมาจากผู้ใหญ่รุ่นก่อน ๆ ในบางเรื่อง ในเนื้อหาของหนังสือ เลี้ยงบวกลูกบวก จะประกอบด้วย 5 ส่วนหลัก ๆ…